“เงินทุนศรีสวัสดิ์" สู่สถาบันการเงินทางเลือก
“เงินทุนศรีสวัสดิ์"
สู่สถาบันการเงินทางเลือก
หลังจากการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท
ศรีสวัสดิ์พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา
ได้มีมติอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นบริษัทเงินทุน กรุงเทพธนาทร จำกัด (มหาชน) (BFIT)
หรือบีฟิทเพื่อครอบงำกิจการ ในสัดส่วน 36%
พร้อมอนุมัติปรับโครงสร้างธุรกิจโดยโอนกิจการบางส่วนให้กับ บริษัท
ศรีสวัสดิ์พาวเวอร์ 2014 จำกัด
ซึ่งเป็นบริษัทย่อยและปรับโครงสร้างธุรกิจภายในกลุ่มเพื่อให้บริษัทมีสถานะเป็นบริษัทโฮลดิ้ง
ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างกิจการ
โดยโอนธุรกิจและสาขาให้ ศรีสวัสดิ์ 2014 และยื่นขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) จัดตั้งธุรกิจการเงิน
ซึ่งหลังเสร็จสิ้นการรับซื้อหุ้นบีฟิทจากผู้ถือหุ้นทั่วไปแล้ว ในเดือนพ.ค.นี้
จะพิจารณาแบ่งแยกธุรกิจสินเชื่อระหว่างบริษัทและบีฟิทพร้อมทั้งเตรียมเปลี่ยนชื่อบริษัท
เงินทุนกรุงเทพธนาทร เป็น “บริษัทเงินทุนศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน)”
จากนั้นมุ่งรีแบรนด์ใหม่ภายใต้แนวคิด “ศรีสวัสดิ์เงินด่วนสำหรับทุกคน”
“ธิดา แก้วบุตตา” กรรมการผู้จัดการ
บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 บอกว่า
พัฒนาการของบริษัทครั้งล่าสุดที่สตรองมากขึ้นกับบทบาทใหม่สู่เป้าหมาย
“สถาบันการเงินทางเลือกกับคนไทย”
สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐกำลังเดินหน้าขจัดหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์ การที่เข้าไปควบรวมกับบีฟิท
แน่นอนว่า
นับจากนี้ไปจะช่วยสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจสินเชื่อให้หลากหลายและครบวงจรมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งยังช่วยเพิ่มรายได้และอัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นให้อย่รูะดับที่ดีในระยะยาว
สิ่งที่สำคัญที่สุด นั้นคือ
ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือในการให้บริการลูกค้าและเพิ่มทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุน
ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง พร้อมทั้งรองรับการเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายทางธุรกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ขณะที่การปรับโครงสร้างกลุ่มกิจการ คาดว่าจะได้รับประโยชน์
ช่วยขจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์และ
รองรับการเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจนอนแบงก์ในอนาคตด้วย
“ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่า เราเหมือนเป็ด
บินก็ไม่เก่งว่ายน้ำก็ไม่ได้ เล็กก็ไม่เล็ก ไม่นอกระบบแต่ก็ไม่ใช่แบงก์
คือเราเป็นใครก็ไม่รู้ ตอนนี้เราเลยตัดสินใจที่จะโต แบบค่อยเป็นค่อยไป จริงๆ
แล้วการเป็นบริษัทเงินทุนฯ ก็เทียบเท่ากับแบงก์ขนาดเล็ก ทั้งรับฝากเงินปล่อยกู้
และระดมทุน แต่เรายังต้องการเป็นคนเดิมอยู่ ในรูปแบบการดูแลของเรา ไม่ว่าใครจะเดือดร้อนเรื่องเงินก็เข้ามาหาเราได้แค่มีหลักประกัน
แถมยังมั่นใจได้ด้วยว่าเราอยู่ในกรอบกฎหมายมี ธปท. กำกับดูแล
และผู้ถือหุ้นมั่นใจได้มากขึ้น”
**โตชัดทุกธุรกิจปีละ
20-30%
แผนธุรกิจระยะ 5 ปีหลังการควบรวมธุรกิจ
ธิดา บอกว่า บริษัทวางเป้าหมายเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป เฉลี่ยปีละ 20-30%
หรือมีสินทรัพย์เติบโตไปถึงระดับแสนล้านบาท ซึ่งเทียบเท่าแบงก์ขนาดเล็ก
สำหรับเป้าหมายในปีนี้
คาดว่าจะมีสินเชื่อรวมทั้งสิ้น 25,000 ล้านบาท เติบโต 25%
จากปีก่อนบริษัทมีสินเชื่อรวมประมาณ 20,000 ล้านบาท ขณะที่บีฟิท มีฐานสินเชื่อรวมประมาณ
1,400 ล้านบาท และเงินฝากรวม 2,000-3,000 ล้านบาท
บริษัทมุ่งมั่นพร้อมจะเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ
ทั้งธุรกิจสวัสดิ์เดิม ที่เป็นการปล่อยกู้สินเชื่อที่มีหลักประกัน ไม่ว่าบ้าน
ที่ดิน รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ สินเชื่อบุคคล รวมถึงธุรกิจในต่างประเทศ
ซึ่งการเป็นบริษัทเงินทุนฯ
ช่วยสร้างความเชื่อมั่นสนับสนุนการขยายธุรกิจในต่างประเทศง่ายขึ้น
ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมร่วมทุนกับบริษัทพันธมิตรท้องถิ่นในเวียดนาม
เน้นทำตลาดสินเชื่อมอเตอร์ไซค์ คาดว่าจะได้เห็นชัดภายในปีนี้ และยังศึกษาตลาดอื่นๆ
เพิ่มเติม เช่น กัมพูชาและอินโดนีเซียจากปีก่อน
ได้เริ่มเข้าไปทำตลาดสินเชื่อมอเตอร์ไซค์และรถยนต์การเกษตรในพม่าร่วมทุนกับบริษัทพันธมิตรท้องถิ่น
ขณะที่ธุรกิจซื้อพอร์ตลูกหนี้เข้ามาบริหาร
ในปีนี้เตรียมซื้อพอร์ตลูกหนี้บ้านและที่ดินของสถาบันการเงิน เข้ามาบริหารอีกวงเงินประมาณ
2,000-3,000 ล้านบาทด้วย ซึ่งเริ่มทำธุรกิจนี้ 2-3 ปีมาแล้ว คาดว่า
จะเห็นการเติบโตต่อเนื่อง ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนประมาณ 15%
ของรายได้รวมภายในระยะเวลา 5 ปี
**“บีฟิท”เติมเต็มสู่จุดเริ่มร้านสะดวกซื้อการเงิน
ธิดา กล่าวว่า ด้านธุรกิจของบีฟิท
นอกจากที่สามารถรับฝากเงินได้อยู่แล้ว โดยจะรับฝากเงินในกลุ่มลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ (High
Net Worth) ตามประกาศ ก.ล.ต. ซึ่งจะเดินหน้าต่อไป
และความน่าเชื่อถือของบีฟิท
จะช่วยสนับสนุนขยายฐานลูกค้าสินเชื่อเอสเอ็มอีเพิ่มเติม
รวมถึงขยายพันธมิตรธุรกิจกลุ่มประกัน เช่น ประกันสุขภาพและประกันเบี้ย 100 เป็นต้น
ในแง่ระดมทุนรองรับการขยายตัวทางธุรกิจของกลุ่ม หลังจากที่บีฟิท
ได้จัดทำเรทติ้งเสร็จแล้ว ก็จะเริ่มออกหุ้นกู้เพื่อระดมได้ทันที คาดว่า
จะมีวงเงินประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
และทางเลือกในการลงทุนมากขึ้นด้วยต้นทุนเงินที่ต่ำลง ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3.5%
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างเสนอ
ธปท.ขออนุมัติทำธุรกรรมการเงินอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ธุรกิจสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์
และในอนาคตคาดว่าขอใบอนุญาตเพิ่มเติม ที่เกี่ยวกับเคาน์เตอร์เซอร์วิส และอีไฟแนนซ์
ธุรกรรมโอนเงินผ่านระบบ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้ทดแทนสาขา
แม้ว่าขณะนี้ยังเดินหน้าขยายสาขาอีก 300 แห่ง สิ้นปีนี้อยู่ที่ 2,400 แห่ง
“บริษัทพร้อมจะเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจด้วยตัวเอง
อย่างมั่นคง โดยให้บีฟิทเข้ามาเติมเต็มสร้างความน่าเชื่อถือและขยายฐานลูกค้าในรูปแบบสถาบันการเงินอีกระดับหนึ่ง
ที่นำไปสู่จุดเริ่มต้นคำว่า ร้านสะดวกซื้อทางการเงิน
และที่สำคัญการที่เรามุ่งเติบโตภายใต้การควบคุมดูแลของธปท.
มองว่าในอนาคตระยะยาวกว่า10 ปีขึ้นไป เราอาจจะมีโอกาสเติบโตไปเป็นแบงก์ก็เป็นได้”
**ยังคุมเข้มคุณภาพหนี้
ทางด้านคุณภาพสินเชื่อในปีนี้จะรักษาระดับหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(NPL)
ที่ 3.2% เท่ากับปีที่ผ่านมา ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ยังทรงตัวเท่าเดิม
โดยมียอดอนุมัติและปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ 50%
และหลังจากควบรวมกับบีฟิทแล้วแน่นอนว่า
ระบบการบริหารงานหลังบ้านและระบบควบคุมภายในยิ่งรัดกุมมากขึ้นด้วย “เราเชื่อว่าความต้องการเงินตอนนี้ยังมีอีกมาก
เพราะแบงก์ยังเข้มไม่ปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะคนดีที่ติด แบล็คลิส
เหมือนโดนตัดโอกาสเข้าระบบแบงก์ไปเลย ซึ่งก็เป็นโอกาสของเรา
แค่ต้องมีหลักประกันเท่านั้น และเราจะโตภายใต้ความเสี่ยงที่สามารถบริหารจัดการได้”
บทวิเคราะห์ : เมื่อวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา
ได้มีมติอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นบริษัทเงินทุน กรุงเทพธนาทร จำกัด (มหาชน) (BFIT)
หรือบีฟิทเพื่อครอบงำกิจการ ในสัดส่วน 36%
พร้อมอนุมัติปรับโครงสร้างธุรกิจโดยโอนกิจการบางส่วนให้กับ บริษัท
ศรีสวัสดิ์พาวเวอร์ 2014 จำกัด
ซึ่งเป็นบริษัทย่อยและปรับโครงสร้างธุรกิจภายในกลุ่มเพื่อให้บริษัทมีสถานะเป็นบริษัทโฮลดิ้ง
โดยโอนธุรกิจและสาขาให้ ศรีสวัสดิ์ 2014 และยื่นขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) จัดตั้งธุรกิจการเงิน
เปลี่ยนชื่อบริษัท เงินทุนกรุงเทพธนาทร
เป็น “บริษัทเงินทุนศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน)”
จากนั้นมุ่งรีแบรนด์ใหม่ภายใต้แนวคิด “ศรีสวัสดิ์เงินด่วนสำหรับทุกคน”
โตชัดทุกธุรกิจปีละ 20-30% แผนธุรกิจระยะ
5 ปีหลังการควบรวมธุรกิจ ธิดา บอกว่า บริษัทวางเป้าหมายเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เฉลี่ยปีละ 20-30% หรือมีสินทรัพย์เติบโตไปถึงระดับแสนล้านบาท
ซึ่งเทียบเท่าแบงก์ขนาดเล็ก สำหรับเป้าหมายในปีนี้ คาดว่าจะมีสินเชื่อรวมทั้งสิ้น
25,000 ล้านบาท เติบโต 25% จากปีก่อนบริษัทมีสินเชื่อรวมประมาณ 20,000 ล้านบาท
ขณะที่บีฟิท มีฐานสินเชื่อรวมประมาณ 1,400 ล้านบาท และเงินฝากรวม 2,000-3,000 ล้านบาท
บริษัทมุ่งมั่นพร้อมจะเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งธุรกิจสวัสดิ์เดิม
ที่เป็นการปล่อยกู้สินเชื่อที่มีหลักประกัน ไม่ว่าบ้าน ที่ดิน รถยนต์
รถมอเตอร์ไซค์ สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ สินเชื่อบุคคล รวมถึงธุรกิจในต่างประเทศ
ซึ่งการเป็นบริษัทเงินทุนฯ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นสนับสนุนการขยายธุรกิจในต่างประเทศง่ายขึ้น
ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมร่วมทุนกับบริษัทพันธมิตรท้องถิ่นในเวียดนาม
เน้นทำตลาดสินเชื่อมอเตอร์ไซค์ คาดว่าจะได้เห็นชัดภายในปีนี้
ความคิดเห็น
: การทำธุรกิจต่างๆแต่จะต้องไม่ลืมนึกถึงหลักจรรยาบรรณเป็นหลักสำคัญ
บริษัทมุ่งมั่นพร้อมจะเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งธุรกิจสวัสดิ์เดิม
ที่เป็นการปล่อยกู้สินเชื่อที่มีหลักประกัน ไม่ว่าบ้าน ที่ดิน รถยนต์
รถมอเตอร์ไซค์ สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ สินเชื่อบุคคล รวมถึงธุรกิจในต่างประเทศ
ซึ่งการเป็นบริษัทเงินทุนฯ
ช่วยสร้างความเชื่อมั่นสนับสนุนการขยายธุรกิจในต่างประเทศง่ายขึ้น
ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมร่วมทุนกับบริษัทพันธมิตรท้องถิ่นในเวียดนาม
เน้นทำตลาดสินเชื่อมอเตอร์ไซค์ คาดว่าจะได้เห็นชัดภายในปีนี้
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
พระราชบัญญัติ
ธุรกิจสถาบันการเงิน
พ.ศ.
๒๕๕๑
________________
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เป็นปีที่
๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน
มาตรา
๔ ในพระราชบัญญัตินี้ “ธุรกิจสถาบันการเงิน”
หมายความว่า ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
และให้หมายความรวมถึงการประกอบธุรกิจของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
“ธุรกิจเงินทุน”
หมายความว่า
การประกอบธุรกิจรับฝากเงินหรือรับเงินจากประชาชนที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม
หรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ ซึ่งมิใช่การรับฝากเงินหรือรับเงินไว้ในบัญชีที่จะเบิกถอนโดยใช้เช็ค
และใช้ประโยชน์จากเงินนั้นโดยวิธีหนึ่งวิธีใด เช่น ให้สินเชื่อ
ซื้อขายตั๋วแลกเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใด
“ธุรกิจเงินทุน”
หมายความว่า
การประกอบธุรกิจรับฝากเงินหรือรับเงินจากประชาชนที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม
หรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
ซึ่งมิใช่การรับฝากเงินหรือรับเงินไว้ในบัญชีที่จะเบิกถอนโดยใช้เช็ค
และใช้ประโยชน์จากเงินนั้นโดยวิธีหนึ่งวิธีใด เช่น ให้สินเชื่อ
ซื้อขายตั๋วแลกเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใด
ที่มา
: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/752718
วิเคราะห์โดย
: นางสาวจุฑามาศ บุญรอด 5911011804081
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น